บริการทดสอบความปลอดภัยทางไฟฟ้า

บริการทดสอบผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัย (Product Safety Testing)

การทดสอบด้านความปลอดภัย คือ การทดสอบผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เพื่อลดความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอันตรายหรือการบาดเจ็บของผู้ใช้เครื่อง ผู้ซ่อมบำรุงเครื่อง และบุคคลทั่วไปที่อาจเข้ามาสัมผัสกับตัวอุปกรณ์

Why choose PTEC for Safety testing

ด้วยวิศวกรที่มีความรู้ความชำนาญในการทดสอบคุณภาพในด้านความปลอดภัย ทำให้เราสามารถให้บริการทดสอบครอบคลุมสินค้าหลากหลายประเภท ด้วย โดยการทดสอบนั้นจะเป็นไปเพื่อให้แน่ใจว่าสินค้าทุกชิ้นที่ผ่านการทดสอบจากเราเป็นไปตามมาตรฐานสากล เช่น BS EN IEC UL TIS.

Test item
  1. การทดสอบอันตรายจากไฟฟ้าช็อต
  2. การทดสอบอันตรายที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน
  3. การทดสอบอันตรายจากไฟ
  4. การทดสอบอันตรายที่เกี่ยวกับความร้อน
  5. การทดสอบอันตรายทางกล
  6. การทดสอบอันตรายจากการแผ่รังสี
  7. การทดสอบอันตรายทางเคมี

งานบริการที่ PTEC ให้การทดสอบ

ทดสอบเพื่อการรับรองผลิตภัณฑ์
  1. สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.)

  2. สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)

  3. สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)

  4. ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC)

ครอบคลุมผลิตภัณฑ์
  1. เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน

  2. ผลิตภัณฑ์ส่องสว่าง

  3. ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีสารสนเทศ

  4. ผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์

  5. ผลิตภัณฑ์โทรคมนาคม

มาตรฐาน
  1. IEC 60335-1

  2. IEC 60335-2-X

  3. IEC 60950-1

  4. IEC 60601-1

  5. IEC 60601-2-X

  6. IEC 60950 : safety

  7. IEC 61000-3-8 : EMC

  8. EN 300 328-2)-Zig-bee

  9. Accuracy Testing

  10. เครื่องหมาย CE Mark

  11. เครื่องหมาย มอก.

     

ห้องปฏิบัติการ 202 Product Safety testing section ชั้น 2 Tower D อาคาร INC2

หลอดไฟฟ้าแบบไส้กับมาตรการด้านพลังงานของสหภาพยุโรป และการทดสอบอุปกรณ์ส่องสว่างในประเทศไทย

กำเนิดหลอดไฟฟ้าแบบไส้

ก่อนทศวรรษ 1870 ในประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรป บ้านเรือนที่มีฐานะยากจน จะสามารถมีแสงสว่างไว้ใช้ทำงานในช่วงเวลากลางคืน จากการเผาไหม้โดยใช้เทียนไขสัตว์ ตะเกียงน้ำมันดิน ฟืน ถ่านหิน ฯลฯ  หรือไม่ก็เข้าต้องนอนในเวลาพลบค่ำ  ส่วนบ้านเรือนที่มีฐานะร่ำรวยหน่อยจะมีโคมแก๊สจุดส่องสว่าง  หรือถ้าเป็นในเขตเมืองหลวงจะมีไฟฟ้าส่องสว่าง ซึ่งกำเนิดจากไฟอาร์กซึ่งถูกประดิษฐ์ขึ้นโดย วิลเลี่ยม วอลเลซ ซึ่งได้จากประกายไฟซึ่งกระโดดข้ามขั้วของคาร์บอน ที่ถูกนำมาจ่อเกือบชิดกัน แท่งคาร์บอนแบบนี้ใช้งานได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง ก็ต้องเปลี่ยนแท่งใหม่  เนื่องจากเมื่อใช้งานแล้วตัวขั้วคาร์บอนจะเสื่อมสภาพลงอย่างรวดเร็ว แสงไฟอาร์กที่ได้ยังเจิดจ้าบาดตาจนมองดูด้วยตาเปล่าไม่ได้  แสงไฟอาร์นี้คล้ายกับตอนเราเชื่อมโละในยุคปัจจุบัน นอกจากปัญหาด้านต่างๆที่กล่าวมาแล้ว การใช้งานหลอดไฟแบบอาร์กยังก่อให้เกิดอันตราย เนื่องจากมันใช้แรงดันไฟฟ้าสูงทำให้เกิดการอาร์ก ดังนั้นเมื่อมีเศษไม้ กิ่งไม้หรือรังนกไปพาดผ่านขั้ว ก็จะทำให้เกิดไฟไหม้ขึ้นตามมาบ่อยครั้ง ต่อมา โทมัส อัลวา เอดิสัน ไปเยี่ยมชมงานแสดงไฟอาร์กของวิลเลี่ยม วอลเลซเกิดความคิดขึ้นมาว่าต้อง คิดค้น หลอดไฟแบบที่เรืองแสง นุ่มสวยสบายตา และปลอดภัยในการใช้งาน เขาทำการทดลองจนพบว่าเมื่อนำกระแสไฟฟ้าไหลผ่านเส้นคาร์บอน ซึ่งทำจากไม้ไผ่ จะทำให้เกิดแสงสว่างขึ้นได้ แต่ในครั้งแรกๆของการทดลอง หลอดไฟฟ้าเกิดระเบิดบ้าง แตกบ้างและไส้หลอดขาดไม่ประสบความสำเร็จเสียที   จนในที่สุดได้รับคำแนะนำให้ทำการสูบเอาอากาศออกจากหลอดไฟ หรือทำให้เป็นสุญญากาศ หลอดไฟฟ้าแบบไส้จึงถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่นั้นมา นับเป็นเวลามากกว่า 140 ปี และยังคงใช้งานจวบจนปัจจุบัน                             ทุกวันนี้เมื่อเราต้องการแสงสว่างจากไฟฟ้า มีหลอดหลายชนิดให้เลือกใช้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นหลอดไส้(candescent) หลอดฟลูออเรสเซนต์(Fluorescent) หลอดฮาโลเจน(halogen)หรือเทคโนโลยีล่าสุดคือหลอด แอลอีดี(LED) อย่างไรก็ตามหลอดไฟฟ้าที่ใช้งานได้ง่ายที่สุดคือ หลอดไส้ เพราะไม่ต้องมีการต่ออุปกรณ์อื่นๆเพิ่มเติมเพื่อให้แสงสว่าง และหลอดไส้มีวัตต์หลากหลาย และหลายรูปทรงให้เลือกใช้ แต่มีข้อเสียคือการกินกำลังไฟฟ้ามาก  นอกจากนี้ยังมีความร้อนแผ่ออกมาสูง แต่กลับมีอายุการใช้งานต่

สิ้นสุดศตวรรษที่ 20 สิ้นสุดหลอดไส้

สำหรับศตวรรษที่ 20 เกิดการตื่นตัวภาวะโลกร้อนมากขึ้น  โดยประเทศสมาชิกในสภาพยุโรป(EU) ได้มีมาตรการควบคุมด้านสิ่งแวดล้อมเข้มงวดมากขึ้น และได้ประกาศให้ประเทศภาคีสมาชิกยกเลิกการใช้และการจำหน่าย หลอดไฟไส้แบบเก่า (Old Incandescent Light Bulb) เพื่อการประหยัดพลังงานตามภาวะโลกร้อน เนื่องจากหลอดไส้สิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้าสูงกว่าหลอดแบบฟลูออเรสเซนต์มากในขณะที่ให้ความสว่างของไฟฟ้าต่อหน่วยพื้นที่เท่ากัน บริษัทผู้ผลิตหลอดไฟชั้นนำในสหภาพยุโรป ได้แก่ GE OSRAM Philips Havells Sylvania และสมาชิกของสมาพันธ์บริษัทหลอดไฟแห่งยุโรป (European Lamp Companies Federation – ELC) ได้เสนอข้อริเริ่มที่จะยกเลิกการผลิตหลอดไฟแบบไส้ (incandescent lamps)ขนาด 100 วัตต์ ในปี 2009 และขนาด 25 วัตต์ ในปี 2015 และทางคณะกรรมาธิการยุโรปแสดงท่าทียินดีกับข้อเสนอดังกล่าวจากทางภาคเอกชน แต่อาจออกมาตรการที่เข้มงวดกว่าเพื่อบังคับใช้ โดยคาดการณ์ว่าระเบียบของยุโรปจะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นรูปธรรมในปี พ.. 2015   

ในปี ค..2020 คณะกรรมาธิการร่วมยุโรปตั้งเป้าที่จะบรรลุเป้าหมายการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงานในยุโรปลงให้ได้ร้อยละ 20 ตามแนวทางของนโยบายพลังงานและสิ่งแวดล้อม ซึ่งที่ประชุมสุดยอดยุโรป รับรองไปเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามเป้าหมายการลดการใช้พลังงานร้อยละ 20 ของสหภาพยูโรป ได้ถูกองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมหลายองค์กร อาทิ NGOs เช่น Greenpeace ต่อว่าอย่างรุนแรง โดยองค์กรเหล่านี้เห็นว่าข้อเรียกร้องดังกล่าวของคณะกรรมาธาการร่วมยุโรป ไม่เด็ดขาดเพียงพอ และควรมุ่งเน้นให้ประเทศภาคีสมาชิก ยกเลิกการใช้งานหลอดไฟไส้ทุกชนิดภายในปี ค.. 2009 โดยล่าสุดข้อเรียกร้องเป็นผล ทำให้คณะกรรมาธิการด้านพลังงานจะเสนอร่างระเบียบข้อบังคับด้านหลอดไฟไส้ที่เข้มงวดกว่าโดยกฏระเบียบนี้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 กันยายน 2552  ส่งผลให้หลอดไฟจากผลงานการประดิษฐ์คิดค้นของโทมัส อัลวา เอดิสัน ต้องถูกกำจัดให้หมดไปจากตลาดในเวลาอันรวดเร็ว  แต่การประกาศบังคับใช้กฏระเบียบของยุโรปในครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบกับตลาดเป็นครั้งสุดท้ายตามมาด้วย เนื่องจากชาวเยอรมันได้แห่งกันออกมาทำการกว้านซื้อหลอดไส้ เพื่อเก็บตุนไว้เป็นจำนวนมาก ด้วยเกรงว่าหลังจากที่ EU ประกาศให้เป็นยุคใหม่ของหลอดประหยัดพลังงาน แล้วจะหาซื้อหลอดไส้มาใช้ไม่ได้ ทำให้ยอดขาย หลอดไส้ขนาด 100 วัตต์ ตามร้านค้าในเมืองฮัมบูร์กนั้นพุ่งขึ้นไปถึงร้อยละ 337  ดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่าแทนที่จะขายไม่ออกข้อเรียกร้องที่ทางกลุ่มบริษัทผู้ผลิตหลอดไฟเสนอมา  คณะกรรมาธิการยุโรปกำลังจะออกมาตราการเกี่ยวกับดำเนินการเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ใช้พลังงานประเภทต่างๆภายใต้ระเบียบ Eco-Design เป็นระยะๆ  ภายในสองปีข้างหน้านี้ ซึ่งจะรวมไปถึงผลิตภัณฑ์ที่ให้แสงสว่างในครัวเรือน เช่น หลอดไฟด้วย

มาตรการควบคุมหลอดไส้ของสหภาพยุโรป

จากการที่สหภาพยุโรปประกาศข้อกำหนด eco-design สำหรับหลอดไฟนั้น บัดนี้ EUได้ห้ามการวางจำหน่ายหลอดไฟไส้ร้อนแบบเก่า (old incandescent light bulbs) ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ..2552 เรียบร้อยแล้ว  ส่วนการห้ามวางจำหน่ายหลอดไฟแบบเก่ารุ่นต่ำกว่า 100 วัตต์จะค่อยๆ ทยอยตามมาในปีต่อๆไป และจะต้องหมดไปจากชั้นวางจำหน่ายสินค้าตามร้านค้าในยุโรปภายในวันที่ 1 กันยายน 2012  นอกจากนี้คณะกรรมาธิการร่วมยุโรปได้มีมาตรการผลักดันให้ผู้บริโภคหันไปใช้หลอดเทคโนโลยีใหม่อย่างเช่น หลอดประหยัดไฟแบบขด (compact fluorescent lights หรือ CFL) ซึ่งจะสามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ถึงร้อยละ 80 ของหลอดไฟแบบเก่า         โดยสหภาพยุโรปคาดหวังว่าการบังคับใช้กฎระเบียบนี้จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ภายใต้การดำเนินการของสหภาพยุโรป ในเรื่องสภาพการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศด้วย  โดยขณะนี้ประมาณร้อยละ 85 ของหลอดไฟที่ใช้ในครัวเรือนยังเป็นแบบที่กินไฟมากเกินไปอยู่  สหภาพยุโรปคากการณ์ว่าหลอดประหยัดพลังงานแบบใหม่ที่มาทดแทนหลอดไส้แบบเก่านี้ จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในยุโรปลงได้ปีละ 15 ล้านตันเลยทีเดียว และหากผู้บริโภคหันมาใช้หลอดประหยัดพลังงานจะช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้ นอกจากนี้หลอดไส้ยังทำให้โลกร้อน เพราะมีเพียงร้อยละ 5 ของพลังงานทั้งหมดที่หลอดไส้ใช้เท่านั้นที่แปรไปเป็นแสงสว่าง  ส่วนที่เหลือนั้นเป็นการให้ความร้อนที่เปล่าประโยชน์ สำหรับประเทศอื่นๆ นอกเหนือจากสหภาพยุโรปก็ได้ริเริ่มการประกาศห้ามใช้หลอดไฟไส้ร้อนแบบเก่าเช่นกัน อาทิ ออสเตรเลีย ห้ามใช้ภายในปี 2553 แคนาดา ภายในปี 2555 อาร์เจนตินา ภายในปี 2553 และ สหรัฐฯ จะทยอยห้ามใช้ในปี 2555-2557 เป็นต้น มาตรการกำจัดหลอดไส้ในสหภาพยุโรปจะเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ โดยเริ่มจากหลอดไส้ขนาด 100 วัตต์ที่จะถูกเลิกใช้นับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายนเป็นต้นไป  ตามมาด้วย หลอดไส้แบบขุ่นทุกประเภท หลอดฮาโลเจนแรงสูง และหลอดฟลูออเรสเซนต์ที่ไม่ค่อยประหยัดพลังงานพอถึงสิ้นปี พ.. 2555 หลอดไส้ขนาด 75 วัตต์ และ 60 วัตต์ ก็จะกลายเป็นสิ่งของต้องห้ามเช่นกัน   ชาวเมืองเยอรมันที่กลัวการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้  ส่วนใหญ่นั้นเป็นผู้สูงอายุ ซึ่งเห็นว่าการห้ามใช้หลอดไส้ที่มีราคาถูกนั้นเป็นเพราะผู้ผลิตต้องการขายหลอดคอมแพ็กฟลูออเรสเซนต์ที่มีราคาแพงกว่า และพวกเขายังคิดว่าหลอดไส้นั้นให้แสงสว่างมากกว่า ติดเร็วกว่า และแสงนุ่มนวลกว่าด้วยสมาคมผู้บริโภคยุโรป (BEUC) เห็นว่าการห้ามวางจำหน่ายหลอดไฟแบบเก่า ถือเป็นมาตรการที่ให้ประโยชน์ทางการเงินแก่ผู้บริโภค คาดว่าการใช้หลอดประหยัดไฟแทนที่หลอดไฟไส้ร้อนแบบเก่าจะช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าของครัวเรือนลงโดยเฉลี่ยถึง 166 ยูโรต่อปี

การรีไซเคิลหลอดไส้ที่เสื่อมสภาพแล้ว

เนื่องจากการประกาศบังคับใช้กฏระเบียบของยุโรป จะทำให้เกิดซากของหลอดไส้ตามมา เนื่องจากโรงงานผลิตหลอดไส้แบบเดิมที่มีความสามารถผลิตต่อจะปรับเปลี่ยนการผลิตของตนไปเป็นผลิตภัณฑ์อื่น แต่บางรายที่มีงบประมาณลงทุนน้อย และไม่สามารถปรับเปลี่ยสายการผลิตของตนจะไปต่อไม่ได้ และจะต้องยกเลิกการผลิตลง ทำให้ขาดการเชื่อมต่อกระบวนการรีไซเคิลเกิดขึ้น   ส่งผลให้เกิดขยะหลอดไส้สูงขึ้นตามมาโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศโลกที่สาม  ดังนั้นองค์กร ANEC ซึ่งเป็นตัวแทนผู้บริโภคและติดตามการประกาศบังคับใช้มาตรฐานสินค้าของอียู ได้ให้ข้อคิดเห็นต่อประเด็นการรีไซเคิลหลอดไฟแบบเก่าที่ล้าสมัยว่า หน่วยงานรับผิดชอบควรหาวิธีการทำที่ง่ายที่สุด และควรเปิดให้ผู้บริโภคที่ใช้งานหลอดไส้ ได้คืนหลอดไฟที่ใช้แล้วแก่ผู้จำหน่ายได้ เพื่อนำกลับไปทำการรีไซเคิลได้

อย่างไรก็ตาม ออสเตรเลียได้เป็นประเทศแรกที่ยกเลิกการใช้หลอดไฟไส้แบบเก่าที่ไร้ประสิทธิภาพในด้านการประหยัดพลังงานภายในปี ค.. 2010  ตามด้วยแคนาดาที่วางเป้าการ ห้ามจำหน่ายหลอดไส้ภายในปี ค..2012 
อาร์เจนติน่าภายในปี ค.. 2010  สหภาพยุโรปทยอยยกเลิก ในปี ค.. 2009-2012 และ สหรัฐฯ ทยอยยกเลิก ในปี ค.. 2012-2014 อย่างไรก็ดี การทดแทนโดยหลอดประหยัดไฟ (หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์) มีสารปรอทซึ่งเป็นสารพิษที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมได้เมื่อหลอดไฟแตก รวมทั้งข้อกังวลต่อการรีไซเคิล ซึ่งอาจเป็นประเด็นต่อไปในอีกสี่ห้าปีข้างหน้า

หลอดเรืองแสงหรือหลอดฟลูออเรสเซนต์ (Fluorescent Lamp) กับมาตรการยุโรป

ในปี ค.. 1900  จอช์จ คลอสิต ได้นำเสนอหลอดเรืองแสงขึ้นเป็นครั้งแรก หลอดไฟฟ้าของเขาถูกบรรจุด้วยก๊าซนีออนให้แสงสีแดง และสีอื่นๆ ตามแต่ชนิดของแก๊ซ ที่บรรจุไว้ภายใน และนี่ คือต้นแบบหลอดนีออนหลอดแรกของโลก จากนั้นมีการพัฒนาการทดลองต่อไปอีก จนในที่สุดพบว่าถ้าบรรจุไอปรอท (Mercury vapor) ไว้ภายในหลอด และฉาบผิวหลอดแก้วด้านในด้วยฟอสฟอรัสหรือสารเรืองแสงแล้ว  ปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าไป ไอปรอทจะถูกกระตุ้นและแผ่พลังงานออกมาในรูปของรังสีที่มีความยาวคลื่น 254 nm ออกมา ซึ่งเป็นความยาวคลื่นที่สายตามองไม่เห็นและเป็นอันตราย รังสีที่ไอปรอทแผ่ออกมาจะกระทบกับสารเรื่องแสงที่ผนังหลอด สารเรืองแรงจะดูดซับรังสีที่เป็นอันตรายเอาไว้ และตัวมันเองจะแผ่พลังงานในรูปของคลื่นที่มีความที่ที่สายตาคนมองเห็นได้ออกมาแทน ที่เรียกว่า แสงขาวอุ่น (Warm white) ต่อมาเรียกหลอดพวกนี้ว่า หลอดฟลูออเรสเซนต์ (Fluorescent) แต่เรามักเรียกว่าหลอดนีออนกันจนชินปัจจุบันการผลิตหลอดเรืองแสงหรือหลอดฟลูออเรสเซนต์ (Fluorescent Lamp) ในอุตสาหกรรม
มักทำด้วยหลอดแก้วที่สูบอากาศออกจนหมดแล้วบรรจุไอปรอทไว้เล็กน้อย มีไส้ที่ปลายหลอดทั้งสองข้างหลอดเรืองแสงอาจทำเป็นหลอดตรง หรือครึ่งวงกลมก็ได้  อย่างไรก็ตามหลายปีมานี้ได้มีการพัฒนาหลอดไฟฟ้าชนิดใหม่ขึ้นอีกหลายแบบเพื่อใช้แทนหลอดไส้แต่มีคุณสมบัติดีกว่า นั่นคือหลอดคอมแพ็คฟลูออเรสเซนต์(compact fluorescent)

การใช้พลังงานไฟฟ้าของหลอดไส้กับหลอดคอมแพ็คฟลูออเรสเซนต์

การเปรียบเทียบการใช้พลังงานไฟฟ้าของหลอดไส้กับหลอดประหยัดไฟหรือหลอดคอมแพ็คฟลูออเรสเซนต์ สมมติฐานเป็นดังนี้

  • หลอดไส้ปัจจุบัน กินไฟ 60 วัตต์ อายุการใช้งาน 1,000 ชม. ราคาหลอดละ 20 บาท
  • หลอดประหยัดไฟ กินไฟ 11 วัตต์ อายุการใช้งาน 10,000 ชม.ราคาหลอดละ 120 บาท
  • เปิดใช้งานตลอด 24 ชั่วโมงเป็นเวลา 1 เดือน คิดเป็น 24*30 = 720 ชั่วโมง
  • ค่าไฟหน่วยละ 3 บาทถ้วน

อย่างไรก็ตามเนื่องจากในท้องตลาดมีการจำหน่ายหลอดคอมแพ็คฟลูออเรสเซนต์ที่มีคุณภาพต่ำ ซึ่งมีราคาถูก แต่มีคุณภาพด้านกำลังไฟฟ้าต่ำ ดังนั้นจึงมีการกำหนดตัวแปรทางไฟฟ้าที่สำคัญเพื่อใช้ควบคุมคุณภาพขึ้น 2 อย่างได้แก่ ค่า Power factor และ Total Harmonics Distortions(THD) ดังนั้นการเลือกใช้งานหลอดจะต้องพิจารณาค่าตัวแปรที่สำคัญทั้ง 2 นี้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการเปลี่ยนจากหลอดไส้มาใช้หลอดคอมแพ็คฟลูออเรสเซนต์เป็นจำนวนทีละมากๆ จะทำให้เกิดการเลื่อนเฟสระหว่างกระแสไฟฟ้าที่จ่ายให้จ่ายให้กับหลอดเกิดการผิดเพี้ยน และคุณภาพกำลังไฟฟ้าลดลง ในขณะที่ค่า THD สูงจะทำให้แรงดันไฟฟ้าที่จ่ายให้หลอดเกิดการผิดเพี้ยน หลอดคอมแพ็คฟลูออเรสเซนต์ที่ดีความมีค่า power factor มากกว่า 0.9 และ THD น้อยกว่าร้อยละ 33 นอกจากค่าตัวแปรทั้งสองแล้วการเลือกซื้อหลอดมาใช้งานยังคงต้องคำนึงเรื่องความเข้ากันได้ทางแม่เหล็กไฟฟ้า (EMC) อีกด้วย ซึ่งหลอดที่ผ่านการทดสอบในหัวข้อนี้จะได้รับเครื่องหมาย มอก. ติดอยู่บนผลิตภัณฑ์

ข้อกังวลในการใช้หลอดประหยัดพลังงานแบบใหม่ของสหภาพยุโรป

ถึงแม้หลอดประหยัดไฟจะมีราคาแพงแต่ก็มีอายุการใช้งานยาวนานกว่าแบบดั้งเดิม 8-15 เท่า  อย่างไรก็ดี มีข้อกังวลในเรื่องความเสี่ยงต่อสุขภาพผู้บริโภคบางรายจากระดับสารปรอทที่อยู่ในหลอดไฟแบบใหม่ และทางกลุ่มได้เรียกร้องต่อคณะกรรมาธิการยุโรปให้จัดให้ผู้บริโภคบางรายที่ยังจำเป็นต้องใช้หลอดไฟแบบเก่าด้วยเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพสามารถซื้อหาสินค้านี้ได้ จนกว่าจะมีเทคโนโลยีทดแทนที่เหมาะสม หลอดประหยัดไฟแต่ละหลอดจะมีปริมาณสารปรอทที่ใช้สร้างแสงสว่างน้อยกว่าหลอดฟลูออเรสเซนต์ทั่วไป โดยตามมาตรฐาน Green seal(GS-5) กำหนดให้มีปรอทไม่เกิน 10 มิลิกรัมต่อหลอด เนื่องจากกังวลว่าเมื่อหลอดแตกจะเกิดการั่วไหลของสารปรอทลงสู่สิ่งแวดล้อมหรือแหล่งน้ำต่างๆ อย่างไรก็ตามสหภาพยุโรปได้ออกระเบียบข้อบังคับใหม่เพื่อควบคุมปริมาณปรอทในหลอดชนิดนี้ขึ้นใหม่
โดยเพดานควบคุมปัจจุบันกำหนดให้หลอดไฟมีสารปรอทไม่เกิน 5 มิลลิกรัม ซึ่งเทคโนโลยีที่ดีที่สุดจะมีสารปรอทในหลอดไฟเพียง 1-2 มิลลิกรัม และผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ต้องสำแดงความสอดคล้องตามมาตรฐาน ROHS ของสหภาพยุโรปด้วย

หลอด LED กับมาตรการสหภาพยุโรป

หลอด LED ถือว่าเป็นทางเลือกของอนาคตได้เลยทีเดียว ด้วยคุณสมบัติการทำงานที่ไม่มีการเผาไส้หลอด จึงไม่เกิดความร้อน แสงสว่างเกิดขึ้นจากการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนภายในสารกึ่ง พลังงานเปลี่ยนเป็นแสงสว่างได้เต็มที่ มีแสงหลายสีให้เลือกใช้งาน ขนาดที่เล็กทำให้ยืดหยุ่นในการออกแบบ การจัดเรียง นำไปใช้ด้านตกแต่งได้ดี มีความทนทาน ไม่ต้องห่วงเรื่องไส้หลอดขาด หรือหลอดแตก ด้านอายุการใช้งานก็อยู่ได้ถึง 50,000-60,000 ชั่วโมง ทั้งยังปรับหรี่แสงได้ง่ายกว่าหลอดฟลูออเรสเซนต์ และที่สำคัญ ปราศจากปรอท และสารกลุ่มฮาโลเจนที่เป็นพิษนอกจากนี้หลอด LED ยังได้รับการยอมรับในตลาดยุโรปมากขึ้นเนื่องจากไม่มีสารตะกั่วสำหรับการบัดกรีอีกต่อไป จึงถือได้ว่าผ่านข้อกำหนดเรื่อง RoHS ของสหภาพยุโรป แต่เนื่องจากอยู่ในระยะเริ่มต้นของการพัฒนาย่อมมีข้อเสีย คือในปัจจุบันหลอด LED มีราคาสูงกว่าหลอดธรรมดาทั่วไปและมีความสว่างไม่มากนัก

มาตรฐานการทดสอบการแพร่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสำหรับอุปกรณ์ส่องสว่างในประเทศไทย

ปัจจุบันหลอดฟลูออเรสเซ็นต์(T5) เป็นอุปกรณ์หนึ่งที่ได้รับความสนใจจากหลายหน่วยงานและกำลังถูกนำมาใช้ทดแทนหลอดฟลูออเรสเซ็นต์(T8)ซึ่งมีขนาดใหญ่และกินพลังงานไฟฟ้ามากกว่า นอกจากนี้การพัฒนาหลอดแอลอีดี(LED) จนกระทั่งมีประสิทธิภาพสูงขึ้นและสามารถให้แสงสว่างได้ใกล้เคียงแสงจากหลอดฟลูออเรสเซ็นต์และแสงธรรมชาติก็ถือเป็นทางเลือกที่ดีอีกด้วย นอกจากนี้หลอดประเภทดังกล่าวทั้งสองแบบ ยังสามารถประหยัดกำลังไฟฟ้าได้ดีกว่าหลอดแบบเก่าๆ ในขณะที่ให้ปริมาณความเข้มของแสงสว่างมากกว่า ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของหลอด LED คือมันมีแนวโน้มที่จะมีราคาถูกลงและมีอายุการใช้งานนานขึ้นอีกด้วย   ดังนั้นผู้ใช้งานส่วนใหญ่โดยเฉพาะภาครัฐได้ริเริ่มเปลี่ยนให้อาคารสำนักงานต่างๆหันมาใช้หลอดประเภทดังกล่าว โดยเสริมมาตรฐานสนับสนุนทางด้านพลังงานเพิ่มเติมหน่วยงานรับผิดชอบของประเทศเช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิต(กฟผ.) ได้มีนโยบายผลักดันการใช้งานหลอดแบบ T5 เพิ่มขึ้นเป็น 15 ล้านหลอดภายในปี 2555  และจากการผลักดันดังกล่าวจึงเป็นผลดีสำหรับผู้ผลิตและผู้นำเข้าหลอดประเภทดังกล่าวเพื่อการจำหน่ายในประเทศ แต่เนื่องจากเทคนิคในการขับหลอดทั้งแบบคอมแพ็คและหลอดแบบ LED แต่ละประเภทได้สร้างปัญหาด้านการรบกวนแพร่ออกมามากกว่า หลอดแบบดั้งเดิมที่ใช้บัลลาต์สแบบขดลวดเหนี่ยวนำ ดังนั้นจึงสามารถรบกวนการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆในอาคารและบริเวณใกล้เคียงได้ด้วย ซึ่งถือเป็นข้อจำกัดในการนำหลอดทั้งสองแบบไปใช้งานในสถานที่ต่างๆด้วย  ดังนั้นสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(สมอ.) จึงได้ประกาศให้ ผลิตภัณฑ์หลอดและอุปกรณ์ส่องสว่างเป็นผลิตภัณฑ์บังคับที่ต้องได้เครื่องหมายรับรองมาตรฐานอุตสาหกรรม(มอก.) ตามประกาศของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(สมอ.) กระทรวงอุตสาหกรรมว่าด้วยกระบวนการขอรับใบอนุญาตแสดงเครื่องหมายมาตรฐานกับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม การขอรับใบอนุญาตทำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมหรือการขอรับใบอนุญาตนำเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ที่มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน ตามมาตรา 16 และมาตรา 20

เนื่องจากกระบวนการในการขอการรับรองเครื่องหมาย มอก.ดังกล่าว จะต้องดำเนินการตามระเบียบของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(สมอ.) อย่างเคร่งครัด จึงถือเป็นอุปสรรคต่อทางการค้าของผู้นำเข้าที่ไม่ทราบข้อกำหนดของมาตรฐานดังกล่าว เนื่องจากกฏระเบียบดังกล่าวประกอบด้วยการดำเนินการทางด้านเทคนิคและกระบวนการจัดการเพื่อให้ได้รับการรับรอง ซึ่งผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ในประเทศไม่มีฐานความรู้ในเรื่องกระบวนการดังกล่าว จึงทำให้เกิดความล่าช้า เสียค่าใช้จ่ายสูง ใช้ระยะเวลายาวนาน และบางครั้งอาจจะไม่สามารถผ่านการรับรองผลิตภัณฑ์ได้ หากโรงงานผลิตในต่างประเทศไม่ได้จัดเตรียมกระบวนการขอการรับรองอย่างเป็นระบบ จนอาจเป็นสาเหตุให้ผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์หรือผู้ผลิตหลายรายเลิกลาจากธุรกิจดังกล่าวไปในที่สุด  ดังนั้นในบทความฉบับนี้จึงได้ทำการสรุปประเภทการทดสอบของอุปกรณ์ส่องสว่างประเภทต่างๆ ไว้เพื่อใช้เป็นแนวทางดังนี้

มาตรฐานการทดสอบการแพร่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสำหรับอุปกรณ์ส่องสว่างในประเทศไทย

สำหรับการทดสอบอุปกรณ์ส่องสว่างประเภทต่างๆนั้น ในประเทศไทยปัจจุบันสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(สมอ.) ใช้มาตรฐานอุตสาหกรรม มอก.1955 ..2551 เป็นข้อบังคับโดยมาตรฐานดังกล่าวระบุให้อุปกรณ์ส่องสว่างต้องผ่านการทดสอบในหลายหัวข้อ โดยการทดสอบแต่ละหัวข้อตามมาตรฐานดังกล่าวขึ้นกับประเภทของอุปกรณ์ส่องสว่าง เช่น

กรณีเป็นหลอดแบบฟลูออเรสเซนต์ที่ใช้บัลลาตส์แบบขดลวดเหนี่ยวนำและมีสตาทเตอร์ จะต้องทดสอบในหัวข้อดังนี้
  • การทดสอบค่าความสูญเสียเนื่องจากการใส่แทรก (insertion loss) ช่วงความถี่ 150 กิโลเฮริตซ์ ถึง 1605 กิโลเฮริตซ์
  • การทดสอบแรงดันไฟฟ้ารบกวนที่ขั้วต่อแหล่งจ่ายกำลังไฟฟ้าประธาน (conducted emission) ช่วงความถี่ 150กิโลเฮริตซ์ ถึง 30 เมกะเฮริตซ์
  • การทดสอบสัญญาณรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่ออก(magnetic field) ช่วงความถี่ 9 กิโลเฮริตซ์ ถึง 30 เมกะเฮิรตซ์
กรณีเป็นหลอดแบบฟลูออเรสเซนต์หรือหลอดแบบคอมแพ็ค หรือหลอดแรงดันไฟฟ้าสูงอื่นๆ ที่มีวงจรอิเล็กทรอนิกส์เป็นตัวจุดหลอด จะต้องทำการทดสอบในหัวข้อดังนี้
  • การทดสอบแรงดันไฟฟ้ารบกวนที่ขั้วต่อแหล่งจ่ายกำลังไฟฟ้าประธาน (conducted emission) ช่วงความถี่ 150กิโลเฮริตซ์ ถึง 30 เมกะเฮริตซ์
  • การทดสอบสัญญาณรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่ออก(magnetic field) ช่วงความถี่ 9 กิโลเฮริตซ์ ถึง 30 เมกะเฮิรตซ์
  • การทดสอบสัญญาณรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่ออก(magnetic field) ช่วงความถี่ 30 เมกกะเฮริตซ์ ถึง 300 เมกะเฮิรตซ์
กรณีเป็นหลอดแบบ แอลอีดี(LED) ซึ่งต้องใช้วงจรอิเล็กทรอนิกส์เป็นส่วนขับหลอดจะต้องทำการทดสอบในหัวข้อดังนี้
  • การทดสอบแรงดันไฟฟ้ารบกวนที่ขั้วต่อแหล่งจ่ายกำลังไฟฟ้าประธาน (conducted emission) ช่วงความถี่ 150กิโลเฮริตซ์ ถึง 30 เมกะเฮริตซ์
  • การทดสอบสัญญาณรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่ออก(magnetic field) ช่วงความถี่ 9 กิโลเฮริตซ์ ถึง 30 เมกะเฮิรตซ์
  • การทดสอบสัญญาณรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่ออก(magnetic field) ช่วงความถี่ 30 เมกกะเฮริตซ์ ถึง 300 เมกะเฮิรตซ์

จากมาตรการกำจัดหลอดไส้ในสหภาพยุโรปจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ โดยเริ่มจากหลอดไส้ขนาด 100 วัตต์ ตามมาด้วย หลอดไส้แบบขุ่นทุกประเภท หลอดฮาโลเจนแรงสูง และหลอดฟลูออเรสเซนต์ที่ไม่ค่อยประหยัดพลังงาน  พอถึงสิ้นปี พ.. 2555 หลอดไส้ขนาด 75 วัตต์ และ 60 วัตต์ ก็จะกลายเป็นสิ่งของต้องห้ามเช่นกัน ดังนั้นภาตอุตสาหกรรมของไทยที่ต้องการส่งออกผลิตภัณฑ์ส่องสว่างไปจำหน่ายใน๓มิภาคยุโรปจึงควรติดตามการบังคับของสหภาพยุโรปอย่างใกล้ชิด เพื่อนำมาปรับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ได้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงนี้

การทดสอบการป้องกันการประทุไฟ การระเบิด ของผลิตภัณฑ์ที่ใช้ใกล้กับแก๊ส และคลังน้ำมัน ตามมาตรฐาน IEC EX EX-d ATEX
  • เป็นการจำลองการทดสอบ Explosion proof ของผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานในบริเวณคลังน้ำมันของสนามบิน ถังน้ำมัน เช่น โคมไฟ พัดลม สวิตซ์ไฟฟ้า ขั้วต่อไฟฟ้าฯ ว่าเมื่อเกิดการลัดวงจรภายในจะไม่ทำให้ไอแก๊สบริเวณรอบ เกิดการประทุไฟ

อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง